บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำยังไงกับความตาย


โดยปกติแล้ว เด็กๆ มันจะไม่รู้จักกับความตาย  เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน 2557) น้องชายของผมตายเนื่องจากไวรัสจากสัตว์ปีกเข้าปอด  (นายนิพนธ์ โกมลฑา ตำแหน่งงานสุดท้ายคือ รองแขวงการทางจังหวัดพิจิตร)

วันที่ไปเผา เจอหลานปู่ของน้องชาย  อายุประมาณ 6 ขวบ เป็นเด็กผู้หญิง บ่นว่า “ปู่ตายแล้วใครจะไปเยี่ยมหนู”  โดยไม่เสียใจอะไรนัก เพราะ เด็กไม่รู้ว่า ความตายมันเป็นยังไง

สำหรับผมนั้น ผมรู้จักกับความตายแบบใกล้ชิดก็ตอนที่ “ก๋ง” หรือคุณตาของผมตาย ตอนนั้น ผมน่าจะเรียนอยู่ ป. 4  อายุก็ประมาณ 9 ขวบ

ก๋งมีลูก 5 คนเป็นผู้หญิงหมด แม่ผมเป็นคนโต  เมื่อลูกแต่งงาน และมีหลานรุ่นแรกจำนวน 3 คน ก็เป็นผู้หญิงหมดอีก 

คิดดูก็แล้วกันว่า ก๋งของผมจะผิดหวังขนาดไหน

ผมเป็นหลานชายคนแรกของก๋ง  ผมจึงเป็นที่รักสุดสวาทขาดใจ แต่ผมจำไม่ค่อยได้หรอก แม่เล่าให้ฟัง 

ก๋งอยู่กับอี๊จุ่น ก็อยู่ในตลาดเดียวกัน  ก๋งจึงอยู่คนละบ้านกับผม

อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปบ้างแล้ว ผมหนีโรงเรียนเป็นตั้งแต่ ป. 1  จึงเป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้านของผมจนกระทั่งขณะนี้  จะมีใครที่ไหนอีก ที่สามารถหนีโรงเรียนเป็นตั้งแต่ ป. 1

ก๋งนี่แหละ.. มีหน้าที่เดินตามหาผม แล้วก็เอาเงินจ้างให้ไปโรงเรียน ผมจำเรื่องก๋งเอาเงินจ้างผมไม่ค่อยได้หรอก  เรื่องนี้แม่ก็เล่าให้ฟัง  

ผมจำก๋งได้ ตอนก๋งเมานั่นแหละ  ก๋งจะเมาแล้วก็เดินไปทั่วตลาด

ตอนนี้ ก๋งไปอยู่บนสวรรค์แล้ว คงภูมิใจพิลึก ที่ผมเรียนจบปริญญาเอก และเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ 

ก๋งเอง เห็นผมหนีโรงเรียนเป็นตั้งแต่อยู่ ป. 1 คงไม่ได้คาดหวังว่า ผมจะได้ร่ำเรียนมาถึงขณะนี้

เมื่อก๋งตาย  ผมก็จึงต้องทำหน้าที่บวชเณรหน้าไฟ  ตอนนั้น ก๋งมีหลานผู้ชายหลายคนแล้ว มากกว่าหลานผู้หญิงเสียอีก  แต่คนอื่นมันไม่ยอมบวช ผมก็เลยบวชคนเดียว

นั่นแหละ ผมจึงรู้จักว่า “ความตาย” เป็นอย่างไร แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรนักหนา ก็รู้ว่า ก๋งตายก็ต้องเผา เผาแล้ว เราก็ไม่ต้องเจอก๋งอีก

เมื่อเรียนหนังสือมากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ผมรู้จักความตายมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยว่า “ผมจะตายเร็ว”  เป็นความคิดเข้าข้างตัวเองแบบไม่มีเหตุผล แต่คนทั้งประเทศก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น 

ผมเป็นจิ๊กโก๋ เพื่อนไปหาเรื่องตีรันฟังแทงมาให้ตลอด ยิงกัน แทงกัน ผมอยู่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้มาตลอดชีวิตวัยรุ่น

แต่ผมก็ยังไม่ตาย และยังอยู่ดีมีสุขบ้าง ทุกข์บ้างมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้  ทั้งๆ ที่มันน่าจะตายไปเสียตั้งนานแล้ว

โดยสรุป เรื่องความตายเกี่ยวกับตัวผม ผมคิดถูก แต่อีกหลายคนคิดผิด เพราะตายกันไปเยอะแล้ว เพื่อนของผมเองก็ตายไปหลายคนเหมือนกัน

ประเด็นที่คิดว่าตัวเองไม่ตายนี้ มีการวิจัยเกี่ยวกับเด็กแวนท์ ที่บิดมอเตอร์ไซค์กวนตีนชาวบ้านเขาไปเรื่อยนั้น  นักวิจัยถามว่า “ไม่กลัวตายหรือ เพราะมีคนตายอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มตัวอย่างบอกว่า “รู้ว่ามีคนตายแบบนี้มาตลอด แต่ก็คิดว่าคงเป็นคนอื่น ตัวผมไม่ตาย

เมื่อมีอายุเข้ากลางคน ชักเริ่มคิดถึงความตาย และมีความห่วง

ห่วงว่าพ่อแม่จะอยู่อย่างไร ถ้าเราบังเอิญตายไป หวงลูกห่วงหลาน แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า “กูคงไม่ตายง่าย” 

ผมก็คิดถูกอีก  แต่อีกหลายคนก็คิดผิด เพราะ ตายกันไปอีกเยอะเหมือนกัน

ดังนั้น  เราควรจะมีท่าที่ต่อความตายอย่างไร

เราก็ต้องเริ่มต้นกับผู้อ่านบล็อกของผมนี่แหละ  เพราะ ไอ้ที่ตายไปแล้ว มันก็คงไม่มีโอกาสได้มาอ่านแน่ๆ

ไอ้ที่ยังมีชิวิตอยู่ และเพลิดเพลินอยู่กับชีวิต มันก็คงไม่มาอ่านบล็อกของผมอีกเช่นกัน ดังนั้น ก็ต้องปล่อยมันไป

ผมว่า เราควรจะคิดไว้ตลอดเวลาว่า “เราจะตายได้อยู่ทุกวัน ทุกเวลา นาที” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ  และก็ควรจะเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา สำหรับความตายของเรา

แล้วจะทำอย่างไร

1- ทำตัวให้หมดห่วง

เรื่องนี้ ถ้าเป็นตัวคนเดียว พ่อแม่พี่น้องลูกหลานเพื่อนฝูงพากันชิงตายไปก่อนแล้ว มันก็พูดง่าย แต่ถ้าลูกยังเล็ก หลานยังมี กิ๊กยังเรียนหนังสืออยู่ ตรงนี้เริ่มคิดยาก

ขอให้คิดอย่างนี้ คนเราทุกคนมีกรรมเป็นของตนเองทั้งนั้น  แล้วบรรดาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งหลายนั้น มันไม่ได้เกิดมาเป็นญาติ เป็นเพื่อนกับเราเพียงชาติเดียวหรอก เกิดมาร่วมกันนับภาพนับชาติไม่ถ้วน

ชาตินี้เราตายไป เดี๋ยวชาติใหม่เราก็ต้องเจอกันอีก จนกว่าจะไปนิพพานนั่นแหละ ก่อนตายก็อาจจะคิดให้มันขำๆ ว่า  “ชาตินี้ทำไมกูตายเร็วขนาดนี้”.

ดร. ไบรอัน ไวส์ (Dr. Brian L. Weiss) นักจิตวิทยาที่ใช้การสะกิดจิตระลึกชาติรักษาคนก็บอกเช่นนั้น 

ดร. ไบรอัน คนนี้ ไม่เคยเอ่ยถึงศาสนาพุทธแบบเถรวาทในเมืองไทยในหนังสือของท่าน ก็อนุมานได้ว่า ท่านไม่รู้ศาสนาพุทธในเมืองไทย 

การศึกษาของท่าน ศึกษาแบบเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า เราเป็นเพื่อนกัน เราเป็นญาติกันหลายร้อยชาตินั้น ก็ต้องเชื่อถือได้ ศาสนาพุทธก็สอนอย่างนั้น  นักวิทยาศาสตร์ก็ว่าอย่างนั้น

ก็ทำให้หมดห่วงได้ว่า ถ้าเราตายเร็วไปแล้ว จะไม่ได้พบกันอีก

เมื่อคิดถึงอย่างนั้น ก็จงเตรียมตัวให้พร้อมในด้านอื่นๆ ด้วย  ถ้ามีทรัพย์สินมรดกมาก ก็เขียนพินัยกรรมไว้ให้ดี 

มีหนี้มีสิ้นก็ใช้กันให้หมดไปก่อน และไม่ควรไปก่อหนี้ไว้อีก

สอนลูกสอนหลานไว้ให้ทำความดี พยามยามให้ปฏิบัติธรรมไว้ด้วย ยิ่งวิชาธรรมกายยิ่งดีมาก เพราะ สามารถไปช่วยเราตอนตายไปแล้วได้  วิชาอื่นๆ ทำอย่างนี้ไม่ได้

2- ปฏิบัติธรรมทุกเวลาเมื่อว่าง

การปฏิบัติธรรมนี่ เท่าที่ติดตามอ่านพฤติกรรมของคนต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วจะทำเป็นเวลา สิ่งเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ  แต่ไม่ใช่ทำแค่นั้น

ขอยกตัวอย่างของผม

คุณลุงบังคับว่า วิทยากรต้องทำวิชาอย่างนั้น 2 ครั้ง คือ ก่อนนอนกับตื่นนอน  ใน 2 ครั้งนี้ต้องทำเต็มรูปแบบ คือ ต้องเริ่มตั้งแต่ ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธัง........ ไปจนจบ 18 กาย  อันนี้ไฟท์บังคับ

แต่ในช่วงทำงานตามปกติในชีวิตประจำวัน ก็ต้องทำด้วย  ครึ่งนาที  1 นาทีก็ควรทำ ทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ  อย่างผมนี้ ผมกำลังเขียนบล็อกอยู่นี้ ระหว่างรอหน้าจอ รอเวลา ผมก็จะหลับตามทำไปเรื่อยๆ ทั้งวัน

ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย

ก็เราไม่รู้ว่า เราจะตายวันไหน เวลาไหน

ลองจินตนาการให้แง่ร้ายสุดๆ สมมุติว่า เราอยู่ในสายการบินลาว ซึ่งลงไปในแม่น้ำโขง (มีคนไทย 5 คน) ก่อนเราจะตาย มันก็ต้องมีเวลาเหลืออยู่

ตอนนี้ ถ้าเราตกใจไปกับเหตุการณ์ ซึ่งใครมันก็ต้องตกใจทั้งนั้น  เราไปนรกแน่ๆ เพราะ หลงตาย แต่ถ้าเราตั้งสติได้ว่า อีคราวนี้กูตายแน่ พญานาคคงไม่มาช่วยกูแน่

เราก็ฝึกสมาธิเลย ทำใจให้สงบ เราก็อาจจะไปสุคติภูมิได้  ดีไม่ดี พญานาคอาจจะมาช่วยเราก็ได้






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น