บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

บอกหนทาง “ออระหอย ออระหอย ออระหอย”


คำว่า “บอกหนทาง” นั้น ไม่ได้หมายความว่า มีคนมาถามทาง แล้วเราก็บอกทางให้เขาไป  “บอกหนทาง” ที่จะเขียนถึงในวันนี้  เป็นคำที่เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งในหลายๆ อย่างในทางศาสนาพุทธของเรา

คำว่า “บอกหนทาง” นั้น  พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไว้ว่า “ก. เตือนสติให้ระลึกถึงคุณพระในขณะใกล้จะตาย.

ในหนังสือคำวัด (พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด) โดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ราชบัณฑิต) ปกแข็งสีเหลือง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ หน้า ๔๘๙ (ทั้งเล่มมี ๑๕๐๓ หน้า) พระเดชพระคุณท่านได้กล่าวไว้ว่า..

บอกหนทาง เป็นสำนวน หมายถึง การเตือนสติคนที่ใกล้จะตายให้นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เพื่อให้ไปดี นิยมเรียกสั้นๆว่า บอกทาง … บอกหนทาง จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คนใกล้จะตายมีสติระลึกถึงความดีที่เคยทำไว้ ทำให้ไม่ หลงตาย

การ “บอกหนทาง” นี้ มีพุทธพจน์รองรับด้วยนะครับ  ก็คือข้อความที่ว่า "เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ย่อมมีทุคติเป็นที่หวัง เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว ย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง"

คำที่ใช้ในการ “บอกหนทาง” ก็เป็นคำที่เรารู้กันโดยทั่วไป เช่นว่า พุทโธ พุทโธ อะระหังๆๆ  ส่วนใหญ่ ก็มักใช้บอกตอนที่คนแก่ผู้นั้นใกล้จะตายเต็มที่แล้ว

ยังไม่เคยพบเห็นว่า คนของป่อเต็กตึ้ง หรือร่วมกตัญญูจะไปบอกพวกที่เกิดอุบัติเหตุแล้ว อาการร่อแร่ๆ ด้วยคำพูดดังกล่าว

ที่นี้ มันก็น่าสงสัยว่า การ “บอกหนทาง” นั้น มันได้ผลจริงไหม............. 

นักการเมืองที่โกงกินประเทศ  บรรดาพ่อค้าแม่ค้า บริษัทที่ขูดรีดคนซื้อ ผูกขาดการค้าขายไว้ในกำมือ ฯลฯ  พวกนี้  “บอกหนทาง” แล้วจะได้ผลหรือไม่

คนที่ทำความดีมาเป็นประจำ เกิดมาแล้วทำความชั่ว ความเลวน้อยมาก จำเป็นจะต้อง “บอกหนทาง” กับคนเหล่านี้หรือเปล่า...

ขอเล่าเรื่องประกอบก่อน  สงสัยว่าจะอ่านมาจากหนังสือโลกทิพย์  อ่านมานานแล้ว แต่จำประเด็นของเรื่องได้แม่นมาก

มีผู้หญิงแก่คนหนึ่ง สมมุติชื่อว่า “ยายมุ้ย”  แกมีอาการเอกทูต โททูต ตรีทูตแล้ว  บรรดาญาติโยมเห็นว่า สมควรที่จะเริ่มพิธีกรรม “บอกหนทาง” กันได้แล้ว

ตัวแทนของญาติก็จะเข้าไปกระซิบข้างๆ หูว่า “ออระหัง ออระหัง ออระหัง”  พิธีกรรมนี้ ท่านว่าห้ามเสียงดัง ห้ามตะโกน  ต้องกระซิบเท่านั้น

คงจะกลัวว่า คนแก่อาจจะช็อกตายไปเลย

ไม่รู้ว่า “ยายมุ้ย” แกหูตึงด้วย หรือแกได้ยินไม่ถนัด และแกคงชอบกินหอยมาตลอดชีวิตของแก แกก็เลยพูดว่า “ออระหอย ออระหอย ออระหอย

สันนิษฐานได้ว่า “ยายมุ้ย”  คงไปเกิดเป็นหอยเสียเป็นแน่แท้ และ การ “บอกหนทาง” ก็ใช้กับยายมุ้ยไม่ได้

เรื่องนี้ ในทางวิชาธรรมกายมีวิธีการ ที่มีประสิทธิภาพเฉียบขาดยิ่งกว่านั้น  หลวงพ่อวัดปากน้ำใช้คำศัพท์ว่า “หลงตาย” เช่นเดียวกัน

หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนว่า ไม่ว่าเราจะสร้างบุญบารมีไว้ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าตอนเข้าขั้นตรีทูตแล้ว นึกถึงดวงธรรมไม่ได้  ตายไปแล้วไปอบายภูมิก่อนเลย

บางคนก็อาจจะคิดว่า “ไม่เห็นเป็นไรเลย มีบุญอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ได้ขึ้นสวรรค์เอง

ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น 

ใครก็ตาม เมื่อตกนรกไปแล้ว ไม่ว่าจะมีบุญมากขนาดไหน แต่สถานการณ์ของการตกนรก มันจะส่งผลให้ทำกรรมชั่วมากขึ้น มันก็เลยวนเวียนอยู่อย่างนั้นอีกนาน  กว่าที่จะหลุดออกมาได้

ด้วยหลักการดังกล่าว คุณลุงการุณย์ บุญมานุชจึงมีคำสั่งที่ห้ามยกเว้นว่า วิทยากรทั้งหลายจะต้องทำวิชา 18 กายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง  คือ ก่อนนอนกับตื่นนอน

ถ้าเราทำได้แบบนี้ ก็เป็นการป้องกันการหลงตายได้ค่อนข้างจะแน่นอน

ที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น  เป็นตัวของเราเอง  ในกรณีที่เป็นคนอื่น อาจจะเป็นบรรดาญาติๆ เพื่อนๆ พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย  ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และตายไปแล้ว จะทำยังไงดี

พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็พยายามไปสอนวิชาธรรมกายให้ท่าน  หาหนทางเอาเองก็แล้วกัน  ผมไม่มีคำแนะนำให้  เพราะ แม่ผมเอง ท่านก็ไม่มาตามผม  ท่านก็ยังภาวนาพุทโธจนตาย

เมื่อสอนวิชาธรรมกายไม่ได้ ก็พยายามเอาเงินท่านมาทำบุญบ้าง จะใช้วิธีโอ้โลม ปฏิโลม หว่านล้อม อย่างไรก็ทำไป แต่อย่าขโมยเอาไปทำบุญโดยเด็ดขาด

คือ ต้องบอกให้ท่านรู้เรื่องว่าจะเอาเงินมาทำบุญนะ ท่านจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ยังดีกว่า

พวกที่เคยทำบุญด้วยกัน เมื่อตายไปแล้ว จะช่วยง่ายขึ้น ดังนั้น ต่อไปก็คือ พวกที่ตายไปแล้ว

วิชาธรรมกายนั้น สามารถช่วยคนที่ตายไปแล้วได้  วิธีการก็คือ เราต้องทำวิชาที่ไปอยู่ที่ตีนเขาพระสุเมรุ  แล้วก็เรียกชื่อคนเหล่านั้นมา

ด้วยอำนาจของกายธรรม อันศักดิ์เฉียบขาดกว่า มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะต้องมาหมด 

เมื่อมาแล้ว เราก็สอนวิชาธรรมกายให้เขา  นี่คือ การช่วยคนตายของวิชาธรรมกาย  ไม่มีการเอาบุญไปอัดให้ดื้อๆ อย่างที่มีคนโกหกกันอยู่

อย่างไรก็ดี  จากประสบการณ์ที่ช่วยคนตายมาแล้วเป็นจำนวนมาก เพราะ ส่วนใหญ่แล้ว คนที่จะทำการช่วยคนตายนั้น คือ คุณลุงการุณย์ บุญมานุช 

คุณลุงการุณย์ บุญมานุช ให้สิทธิผมเป็นกรณีพิเศษคือ จะถามอะไร จะให้ช่วยใคร คุณลุงไม่ปฏิเสธ ยินดีทำให้เป็นอย่างดี  คนอื่นๆ บางทีลุงไม่ทำให้

ดังนั้น วิทยากรที่รู้ๆ จะให้ผมเป็นคนขอให้ลุงช่วยแทน  ผมจึงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก

คนที่ตายไปแล้ว และให้คุณลุงช่วยจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

1- ช่วยไม่ได้  

พวกนี้มีน้อยมาก เขาจะปฏิเสธเลยว่า ช่วยเขาไม่ได้หรอก ทำกรรมชั่วมาเยอะมาก หนักมาก

2- ช่วยได้ แต่ก็ตกนรกอีก  

พวกนี้ ช่วยได้แล้ว แต่การที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลยในตอนมีชีวิตอยู่ จึงรักษาดวงธรรมไว้ไม่ได้ ก็ตกลงมาจากสวรรค์ชั้น 1 อีก 

อย่างไรก็ดี  การที่ตกลงมาอบายภูมิอีกนั้น  ไม่ได้ตกไปที่ชั้นเดิม จะดีขึ้นเพราะได้สร้างบุญบารมีไว้บ้างแล้ว

3- ช่วยได้ตามปกติ

พวกนี้มากสุด  บรรดาพวกที่ผมรู้จัก เพื่อนผม ญาติพี่น้องผม ก็ช่วยได้ทั้งหมด 

โดยสรุป

วิชาธรรมกายนั้น มีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งในตอนที่เรามีชีวิตอยู่ และตอนที่เราตายไปแล้ว  คนทุกคนที่ได้เรียนวิชาธรรมกาย มีพลังพลาดอย่างไร เราก็มีสิทธิที่จะช่วยได้

คนที่ยังไม่มีโอกาสเรียน ก็พยายามทำความรู้จักกับวิทยากรเอาไว้ก่อน เพราะ มีโอกาสรอดจากอบายภูมิ

เพื่อนอาจารย์ของผมบางคน  สังสรรค์กันเฉพาะในวงเหล้า วงเบียร์ ตายไปแล้ว ผมยังขอให้ลุงช่วย 

ท่านผู้นั้นเคยบอกลุงว่า “ถ้าไม่รู้จักดร. มนัส คงอยู่ในตกนรกตลอดไปแน่ๆ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น